วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2552

จิตวิทยา: ความกลัวคณิตศาสตร์จะลดพื้นที่ความจำในสมอง และลดระดับความสามารถในการเรียนรู้

โดยทั่วไป นักเรียนที่มีความประหวั่นพรั่นพรึงต่อวิชาคณิตศาสตร์ เมื่ออายุได้ประมาณ ๑๒ ปี ก็มักจะเลี่ยงลงคอร์สวิชาไปเลย และหากต้องเรียนเพราะเลี่ยงไม่ได้ ก็จะได้คะแนนตำ่มาก นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่าเด็กเหล่านั้น มีความสามารถทางคณิตศาสตร์น้อยมาแต่แรก จึงทำให้คิดอะไรเป็นตัวเลขได้ลำบาก จากผลงานวิจัยที่ลงตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Experimental Psychology: General โดย Mark H. Ashcraft และ Eliazbeth P Kirk แห่ง Cleveland(Ohio) State University ได้ผลขัดแย้งกับทฤษฎีข้างต้น ว่าความวิตกกังวล ตลอดจนความประหวั่นพรั่นพรึงต่อวิชาต่างหาก ที่ไปรบกวนสมาธิและการทำงานของสมองที่จะช่วยให้เข้าใจวิชาคณิตศาสตร์ได้ ความวิตกจริตคณิตศาสตร์(Math Anxiety) นี้ ไปทำให้สมองไม่อาจยึดกุมข้อมูลใหม่ๆ ในขณะที่สมองอีกส่วนกำลังคิดคำนวณข้อมูลเหล่านั้น ซึ่งนักจิตวิทยาเรียกพลังการกุมข้อมูลขณะคิดคำนวณนี้ว่าworking memory ที่มีความสำคัญอย่างวิกฤตเวลาเราคิดเกี่ยวกับตัวเลข "Math Anxiety หรือความวิตกกังวลตัวนี้ ไปดูดแย่งเอาเนื้อที่ในสมองส่วนที่ใช่ยึดกุมข้อมูลจากโจทย์ จึงทำให้เรียนคณิตศาสตร์ได้ยากขึ้น ประมาณว่าเริ่มเกิดขึ้นราวๆระดับ middle school (เกรด ๖ - ๙)" แอชครอฟท์กล่าว

แอชครอฟท์ และ เคิร์ก ทำการทดลองสามชุด แต่ละชุดกับนักศึกษาระดับปริญญาตรี ๕๐-๖๐ คน โดยคละกันไปเท่าๆกันทุกกลุ่ม ระหว่างจำนวน หญิง-ชาย ระดับสูง-กลาง-ต่ำที่มีความวิตกกังวลต่อวิชาคณิตศาสตร์ ที่สอบถามมาก่อน ในการทดลองชุดแรก แอชครอฟท์ และ เคิร์ก พบว่า นักเรียนที่มีความวิตกกังวลสูง จะลงวิชาคณิตศาสตร์น้อย ได้รับเกรดต่ำในวิชา และในแบบทดสอบที่สำรวจ working memory ก็ได้คะแนนต่ำ ในการทดลองชุดที่สอง เพื่อหาผลในทางลบของความวิตกจริต ที่มีต่อ working memory นั้น เขาให้ นักศึกษาดูตัวอักษรชุดหนึ่ง แล้วให้บวกเลขในใจอีกชุดหนึ่งโดยจับเวลาไปด้วย เมื่อบวกเลขเสร็จแล้ว ก็ให้ทบทวนชุดตัวอักษรที่ให้จำไว้ก่อนหน้านั้น คนที่มีความวิตกจริตสูง ได้คะแนนต่ำทั้งเรื่องบวกเลข และเรื่องจำตัวอักษร แต่ที่แย่ที่สุดก็เรื่องบวกเลข ที่ขนาดบวกเลขอย่าง 47 + 18 ก็ยังทำผิดเลย แต่เมื่ออนุญาตให้ใช้ดินสอและกระดาษมาคิดไปด้วย ก็ทำได้ถูกต้องได้คะแนนดีเหมือนกลุ่มอื่น แสดงว่า ความสามารถทางคณิตศาสตร์ไม่ได้บกพร่องเหมือนอย่างที่เชื่อกันทั่วไป การทดลองชุดที่สามพบว่า ความวิตกจริตทางคณิตศาสตร์ ก็ยังทำให้การคำนวณที่ไม่ใช่การเรียนเลขในห้องเรียน ด้อยลงไปมากด้วย หากการคำนวณนั้น ต้องอาศัยความจำขณะทำการคิดมายึดกุมข้อมูล เช่น เขาจะให้นักศึกษา ดูเลข ๔ ตัวชั่วครู่หนึ่ง แล้วไม่ให้เห็นอีก แล้วให้บวกจำนวน ๗ เข้ากับเลขทั้ง ๔ นั้น หมายความว่า นักศึกษาต้องจำเลขทั้ง ๔ ตัวนั้นให้ได้ เมื่อจำไม่ได้ ก็บวกออกมาผิด แม้การบวก ๗ เท่านั้นไม่ใช่เรื่องที่เหลือบ่ากว่าแรงอะไร ผลงานวิจัยรุ่นก่อนหน้านี้ ก็ยังพบด้วยว่า ความวิตกจริตทางคณิตศาสตร์ ก็ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น และทำให้เกิดลักษณะทางกายภาพอีกหลายอย่าง ที่เป็นตัวบ่งขี้ถึงความวิตกกังวล David C. Geary นักจิตวิทยาแห่ง University of Missouri in Columbia เสริมว่า การรักษาทางจิตวิทยา ที่ช่วยลดความวิตกจริตคณิตศาสตร์ ได้ผลช่วยให้นักศึกษาได้คะแนนสูงขึ้นมาแล้วด้วย "ผลงานวิจัยของ แอชครอฟท์ และ เคิร์ก เป็นหลักฐานแน่นหนาที่พิสูจน์เป็นครั้งแรกว่า คนที่มีความวิตกกังวลและประหวั่นกลัวคณิตศาสตร์ จะมีผลต่อความสามารถในการยึดกุมจ้อมูลของสมอง ที่ทำให้เรียนคณิตฯได้ไม่ดีไปด้วย" ดร เกียรี่กล่าว

จาก Bower, B, "Math fears subtract from memory, learning", Science News Vol. 159 No. 26, Jun 30, 2001, p. 405

วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2552

การลดน้ำหนักแบบธรรมชาติ

ลดน้ำหนักแบบธรรมชาติถ้าสมมติฐานที่ว่าความอ้วนและสุขภาพที่เสื่อมโทรมมาจากการใช้ชีวิตแบบฝืนธรรมชาติ ระหว่างที่คุณพยายามจัดระเบียบและปรับชีวิตให้กลับสู่ความสมดุลตามธรรมชาติ ทำไมไม่ลองลดความอ้วนด้วยวิธี “ธรรมชาติบำบัด” ไปพร้อมๆ กันล่ะคะ!นายแพทย์บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล แห่งศูนย์ธรรมชาติบำบัดบัลวี กล่าวไว้ข้อหนึ่งว่า วิธีลดความอ้วนด้วยธรรมชาติบำบัด ที่สำคัญคือ ต้องออกกำลังกาย และ ควบคุมอาหาร ก่อนจะแนะนำสูตรควบคุมอาหาร ซึ่งมีให้เลือกปฏิบัติตามแต่ความถนัดของแต่ละคน
1. ไม่กิน(ข้าว) มื้อเย็น วิธีนี้เหมาะจะเป็นบันไดขั้นแรกสู่สูตรต่อๆ ไป โดยในมื้อเช้าและกลางวันสามารถกินได้ตามปกติ เฉพาะมื้อเย็นเท่านั้นที่กินอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ข้าว อาจจะหาจานเปล่ามา 1 ใบ ใส่ผักสดให้เต็มจาน แล้วกินกับกับข้าวไทยๆ อาทิ น้ำพริกปลาทู แกงส้ม แกงเลียง ยำ ลาบ งดกับข้าวมันๆ เช่นผัดผักมันๆ ของทอด และแกงกะทิ
2. อดอาทิตย์ละวัน เลือก 1 วันในสัปดาห์สำหรับงดเนื้อสัตว์ ไขมัน ข้าว แล้วกินแต่ผลไม้อย่างเดียวทั้งวัน เช่น มะละกอสุก
3. อดด้วยน้ำผลไม้ 3 วัน วิธีการคล้ายกับสูตรที่ 2 เพียงแต่เปลี่ยนจากการกินเนื้อผลไม้มาเป็นการดื่มน้ำผลไม้วันละชนิด ติดต่อกัน 3 วัน
4. อดเพื่อสุขภาพ 10 วัน เริ่มจาก 2 วันแรกกินแต่ผลไม้ ต่อจากนั้นกินผักและผลไม้สดชนิดต่างๆ จนครบ 10 วัน ซึ่งใน 10 วันนี้ถ้าทำอย่างเข้มงวด น้ำหนักจะหายไปประมาณ 3-4 กิโลกรัม
5. กินเนื้อกับผัก สูตรนี้เข้าข่ายการกินแบบ “พร่องแป้ง” หรือ “โลว์-คาร์บ(Low-Carb)” คือกินได้ทุกอย่าง โดยแตะคาร์โบไฮเดรตซึ่งรวมทั้งแป้ง ข้าว และผลไม้ให้น้อยที่สุด โดยกินผักปริมาณ 2 เท่าของเนื้อ แม้ว่าการที่ร่างกายไม่ได้รับพลังงานหลักจากคาร์โบไฮเดรตตามปกติ จะทำให้ร่างกายอยู่ในสภาพเดียวกับภาวะอดอาหาร จนต้องไปดึงพลังงานส่วนเกินที่เก็บสำรองไว้มาใช้ก็จริง แต่ส่วนหนึ่งของพลังงานสำรองอาจเป็นโปรตีนจากกล้ามเนื้อ การกินเนื้อกับผักนานๆ จึงอาจส่งผลให้คุณผอมแบบกล้ามเนื้อหย่อนคล้อย จึงจำเป็นต้องรักษามวลกล้ามเนื้อไว้ด้วยการออกกำลังกายแบบแอโรบิก ซึ่งจะช่วยเปลี่ยนไขมันเป็นกล้ามเนื้อได้ นอกจากนี้หากบริหารความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อเฉพาะส่วน อย่างการยกเวทไปพร้อมกันด้วย ก็จะช่วยเพิ่มขนาดกล้ามเนื้อให้สวยงามและดูดียิ่งขึ้นด้วยหากคุณมีความพยายามจริงจัง จะใช้ทั้ง 5 วิธีผสมผสานกันก็ได้ แต่ควรคำนึงว่าผักและผลไม้ที่จะกินควรมีความใหม่สดและผ่านการล้างอย่างสะอาดดีแล้ว ส่วนจะกินแบบนี้อยู่นานแค่ไหนก็ให้ติดตามจากผลของน้ำหนักตัวว่าได้ตามที่ต้องการแล้วหรือยัง เมื่อพอใจแล้วก็ค่อยๆ ปรับเพิ่มแป้งทีละนิด อย่างไรก็ตามแม้จะกลับมากินเหมือนเดิมแล้ว ก็ยังควรดูแลตัวเองด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสกัดไม่ให้ไขมันกลับมาพอกพูนใหม่ได้ง่ายๆ อีกสำหรับสัดส่วนของอาหารปกติหลังจากเข้าโปรแกรมกินเนื้อ-กินผักแล้วนั้น ควรเป็นการกินตามแนวธรรมชาติบำบัดคือ แต่ละวันกินข้าวกล้อง 3 มื้อ ผักสด 2 จาน ผลไม้ 2 ผล(ขนาดเท่ากับผลแอ็ปเปิ้ล) น้ำผลไม้คั้นสด 1 แก้ว กินเนื้อสัตว์ วันละไม่เกิน 1 ฝ่ามือ อาหารไขมัน(จำพวกผัดและทอด) วันละไม่เกิน 2 อย่าง พร้อมๆ กับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยรักษาน้ำหนักตัวให้เหมาะสม มีรูปร่างที่สมส่วน และสุขภาพโดยรวมที่แข็งแรงมากขึ้นเห็นไหมว่าการลดน้ำหนักแบบธรรมชาติบำบัดทำไม่ยาก ไม่ต้องอดจนหิวไส้กิ่ว ไม่ต้องใช้เงิน ยา หรืออาหารเสริมลดความอ้วนเลย แค่ปฏิบัติตามสูตรเพื่อรูปร่างแข็งแรงและสุขภาพที่ดีขึ้น มีข้อดี มากมายอย่างนี้จะไม่ทดลองลดกันดูบ้างหรือคะ? อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากหนังสือ คู่มือล้างพิษ 1 วัน, อดด้วยน้ำผลไม้, ล้างพิษ 10 วัน และกินเนื้อกินผัก รักษาเบาหวานแบบไม่ต้องอด ทั้งหมดโดยสำนักพิมพ์รวมทรรศน์ และ www.balavi.com

วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2552

วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2552

10 พฤติกรรมที่ทำให้สมองฝ่อเร็ว

เกร็ดความรู้มี 10 พฤติกรรมที่ทำให้สมองฝ่อเร็วมาบอกกัน...

1. ไม่ทานอาหารเช้า จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ นี่จะเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมองเสื่อม

2. กินอาหารมากเกินไป จะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นสาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น

3. สูบบุหรี่ สาเหตุที่ทำให้เป็นโรคสมองฝ่อและโรคอัลไซเมอร์

4. ทานของหวานมากเกินไป ไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารเป็นประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาของสมอง

5. มลภาวะ สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกาย การสูดเอาอากาศที่เป็นมลภาวะเข้าไปจะทำให้ ออกซิเจนในสมองมีน้อยส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมองลดลง

6. อดนอนเป็นเวลานาน จะทำให้เซลล์สมองตายได้ เพราะการนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อน

7. นอนคลุมโปง ไปเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้น ลดออกซิเจนให้น้อยลง ส่งผลต่อประสิทธิภาพ การทำงานของสมอง

8. ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย การทำงานหรือเรียนขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงเหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว

9. ขาดการใช้ความคิด การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมอง การขาดการใช้ความคิดจะทำให้สมองฝ่อ

10. เป็นคนไม่ค่อยพูด ทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง รู้อย่างนี้แล้วก็หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ว่า เพื่อจะได้มีสมองที่ดีกว่า

ข้อมูลจาก มติชน