วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2552

10สัตว์ที่มีพิษมากที่สุดในโลก

อันดับ 1 ได้แก่ Box Jellyfish - แมงกระพรุนกล่องเป็นแชมป์สัตว์ที่มีพิษร้าย แรงที่สุดในโลก รายงายว่ามันฆ่าคนไปแล้ว 5,567 คน พิษของมันนั้นจะไปทำลาย หัวใจ ระบบประสาท ผิวหนัง และที่สำคัญ ถ้าโดนพิษมันจะเจ็บปวดอย่างที่สุด ส่วนใหญ่คนที่โดนพิษมันจะช๊อค และหัวใจล้มเหลว ก่อนที่จะกลับเข้าถึงฝั่ง แต่ถ้าคุณโดนพิษมันก็ยังมีโอกาสที่จะรอดอยู่นั่นคือ ต้องรีบเอาน้ำส้มสายชู มาล้างอย่างน้อย 30 วินาที เพราะมันจะทำลายพิษของแมงกระพรุนกล่องก่อนที่มันจะเข้าไปสู่กระแสเลือด พวก นี้คือ Bluebubble หรือ Portuguese Man Of War เห็นสวยๆอย่างนี้แต่มันเป็นแมงกระพรุนที่มีพิษร้ายแรงมาก ถ้าโดนพิษของมัน...จะเป็นอัมพาตและช็อคหมดสติจมน้ำตายได้
อันดับที่ 2 King Cobra - งูจงอางงู จงอางหรือชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Ophiophagus hannah เป็นงูพิษที่มีลำตัวยาวที่สุดในโลก ด้วยขนาดโตสุดที่ 5.6 เมตร งูจงอางนั้น เรารู้กันว่าอาหารโปรดของมันก็คือ งู !!! นั่นหมายความว่ามันกินสัตว์ตระกูลเดียวกัน และเพียงแค่โดนมันกัดเพียงครั้งเดียว ก็ทำให้คนตายได้อย่างง่ายๆ และพิษของมันนั้น สามารถฆ่าช้างที่โตเต็มวัยได้เพียงแค่ 3 ชั่วโมง ในส่วนของมันนั้น ส่วนประกอบของมันแตกต่างกับพิษงูโดยทั่วไป ที่สำคัญ มันพบได้ทั่วไป ในทวีปเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ และในประเทศไทย

อันดับที่ 3 Marbled Cone Snail - หอยเต้าปูนลายหินอ่อนหอย เต้าปูน ตัวเล็กๆ สีสันสวยงาม แต่!!! พิษของมันนะหรอ เพียงแค่หยดเดียว สามารถฆ่าคนได้ถึง 20 คน ถ้าคุณเล่นน้ำที่ทะเลที่มันค่อนข้างอุ่นๆ แล้วเห็นเจ้าตัวนี้อยู่ อย่าคิดที่จะหยิบมันมาเล่นเลยนะครับ แค่ดูมันอยู่ห่างๆก็พอแล้ว เพราะถ้าคุณโดนพิษมันเล่นงานละก็ คุณจะปวด หลังจากนั้นก็จะเริ่มบวม ระบบการหายใจเริ่มล้มเหลว ร่างกายจะคันหยุกหยิก เป็นอัมพาต แล้วก็ตายในที่สุด แต่ยังไงก็ตาม มีรายงานว่ามีแค่ 30 คนเท่านั้นที่ตายเพราะหอยเต้าปูน

อันดับที่ 4 Blue-Ringed Octopus - ปลาหมึกแหวนน้ำเงินปลา หมึกแหวนน้ำเงินนั้นมีขนาดที่เล็กมาก ขนาดประมาณลูกกอลฟ์เท่านั้นเอง แต่ขนาดไม่ใช่ปัญหาสำหรับความรุนแรงของพิษมันเลย เพราะพิษมันสามารถฆ่าคนได้ภายในไม่กี่นาที และที่สำคัญ มันยังไม่มียาแก้พิษ =.= ถ้าโดน ปลาหมึกแหวนน้ำเงินกัดละก็ คุณจะไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรมากหรอก แต่ว่า พิษมันจะเริ่มทำลายระบบประสาทของคุณ หลังจากนั้นคุณจะรู้สึกอ่อนแอ และคุณก็จะเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ ระบบหายใจการจะเริ่มล้มเหลว หลังจากนั้น ก็ตายในที่สุด>> น่ากลัวไหมล่ะ เล็กพริกขี้หนูจริงๆ

อันดับที่ 5 Death Stalker Scorpion - แมงป่องพันธุ์ เดธท์ สตอลเกอร์แมง ป่องโดยทั่วไปนั้น ถึงแม้ว่าจะโดนกัด พิษของมันก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรมนุษย์ได้มากนัก อาจจะเจ็บปวดนิดหน่อย แต่.....มันไม่ใช่สำหรับแมงป่อง พันธุ์ เดธท์ สตอลเกอร์ เลย เพราะพิษของมันสามารถทำลายระบบ ประสาทได้ ถ้าคุณโดนมันกัด คุณจะปวดอย่างมหาศาล จากนั้นจะตามมาด้วยอาการไข้ขึ้น เป็นอัมพาต และตายในที่สุด แต่ถึงแม้พิษมันจะร้ายแรงมาก แต่มันก็ไม่สามารถฆ่ามนุษย์ที่เป็นผู้ใหญ่ได้ แต่ว่า มันจะเป็นอันตรายต่อ เด็ก ทารก คนแก่ อย่างมาก ถึงแม้ว่ามันไม่สามารถที่จะฆ่าผู้ใหญ่ได้ แต่มันก็ทำให้เป็นอัมพาตได้นะ =.=

อันดับ 6 Stonefish - ปลาหินถ้า แข่งกันในเรื่องของความสวยงามแล้ว ปลาหิน ท่าทางจะแพ้อย่างขาดลอย แต่ถ้าแข่งกันเรื่องความรุนแรงของพิษแล้วละก็ เจ้าปลาหินไม่เป็นรองใครอย่างแน่นอน มันได้ชื่อว่าเป็นปลาที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลก พิษของปลาหินนี้จะอยู่ในหนามของตัวมันเอง มีคนบอกว่า ถ้าคุณโดนมันแทงเข้าละก้อ คุณจะได้ลิ้มรสความเจ็บปวดเท่าที่มนุษย์จะเจ็บได้เลยทีเดียว นอกจากจะเจ็บสุดๆ แล้ว มันจะทำให้คุณเป็นอัมพาต แล้วก็ตายได้ในที่สุด


อันดับที่ 7 The Brazilian wandering spider -แมงมุมบราซิลแมงมุม บราซิลหรือแมงมุมกล้วย ได้รับการบันทึกกลงในกินเนสเวิลด์เรคคอรด์ว่าเป็นแมงมุมที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลก พิษของมันมีระบบทำลายประสาท พวกมันจะอันตรายอย่างมาก เพราะโดยนิสัยของมันแล้วมันชอบแอบอยู่ตามรองเท้า ตู้เสื้อผ้า แม้กระทั่งในรถยนต์ พิษของมันถ้าโดนกัดนอกจากจะทำให้เจ็บปวดอย่างมากแล้ว มันจะทำให้อวัยวะเพศของเราควบคุมไม่ได้ และ ถ้ารอดตายจากการโดนมันกัด มันก็จะทำให้เราเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ


อันดับ ที่ 8 Inland Taipan - งูไทปันโพ้นทะเลงูไทปันถูกพบได้มากในทวีปออสเตรเลีย เป็นงูที่มีพิษร้ายแรงมาก พิษที่มันปล่อยออกมาจากการกัดหนึ่งครั้ง สามารถฆ่าคนได้ถึง 100 คน หรือหนู 250000 ตัว พิษของมันสามารถฆ่าคนได้ภาพใน 45 นาที แต่อย่างไรก็ตาม งูไทปันเป็นงูที่ค่อนข้างขี้อาย ไม่เคยมีการบันทึกว่ามีคนตายจากพิษของมัน


อันดับที่ 9 Poison Dart Frog - กบลูกดอกอาบยาพิษกบลูกดอกสีน้ำเงินนั้นเป็นสัตว์ที่อยู่ในป่าฝนในทวีป อเมริกากลาง และ ใต้ เป็นกบที่มีสีสันสวยงามแต่พิษของมันร้ายแรงมาก พิษของกบลูกดอก 1 ตัว สามารถฆ่าคนได้ถึง 10 คนและหนูถึง 20000 ตัว พิษของมันเพียง 5 ไมโครกรัม (เท่ากับปลายเข็ม) ก็สามารถฆ่าคนและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนาดใหญ่ๆ ได้พิษของมันถูกนำมาใช้ในลูกดอกอาบยาพิษของพวกอินเดียแดง มันจึงถูกเรียกว่ากบลูกดอก


อันดับ 10 Puffer Fish - ปลาปักเป้าปลา ปักเป้า คือสัตว์มีพิษ ที่มีคนนิยมบริโภคมาก โดยเฉพาะในแถบประเทศญี่ปุ่น (ปลาปักเป้าภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า ฟูกุ) และเกาหลี (ในส่วนของภาษาเกาหลีจะเรียกว่า บ๊อค ฮัง) โดนเนื้อปลาปักเป้านั้น จริงๆแล้ว ไม่ได้มีพิษ แต่ส่วนที่มีพิษก็คือพวก ผิวหนังและเครื่องในของปลาปักเป้านั่นเอา แต่พิษเหล่านี้มักจะซึมเข้าไปในเนื้อตอนแล่ พ่อครัวที่จะแล่ปลาปักเป้า ต้องมีใบอนุญาติกันเลย ถ้าหากกินพิษของปลาปักเป้าไป อาจจะทำให้เสียชีวิตได้ในทันที


วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2552

วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

หลุมดำ

หลุมดำ
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
หลุมดำ (อังกฤษ: black hole) หมายถึงเทหวัตถุในเอกภพที่มีแรงโน้มถ่วงสูงมาก (ไม่ได้เป็น "หลุม" อย่างชื่อ) ไม่มีอะไรออกจากบริเวณนี้ได้แม้แต่แสง เราจึงมองไม่เห็นใจกลางของหลุมดำ หลุมดำจะมีพื้นที่หนึ่งที่เป็นขอบเขตของตัวเองเรียกว่าขอบฟ้าเหตุการณ์ (event horizon) ที่ตำแหน่งรัศมีชวาร์สชิลด์ (Schwarzchild radius) ถ้าหากวัตถุหลุดเข้าไปในขอบฟ้าเหตุการณ์ วัตถุจะต้องเร่งความเร็วให้มากกว่าความเร็วแสงจึงจะหลุดออกจากขอบฟ้าเหตุการณ์ได้ แต่เป็นไปไม่ได้ที่วัตถุใดจะมีความเร็วมากกว่าแสง วัตถุนั้นจึงไม่สามารถออกมาได้อีกต่อไป
เมื่อดาวฤกษ์ที่มีมวลมหึมาแตกดับลง มันอาจจะทิ้งสิ่งที่ดำมืดที่สุด ทว่ามีอำนาจทำลายล้างสูงสุดไว้เบื้องหลัง นักดาราศาสตร์เรียกสิ่งนี้ว่า "หลุมดำ" เราไม่สามารถมองเห็นหลุมดำด้วยกล้องโทรทรรศน์ใดๆ เนื่องจากหลุมดำไม่เปล่งแสงหรือรังสีใดเลย แต่นักดาราศาสตร์ก็มีวิธีอื่นในการค้นหา และจนถึงปัจจุบันได้ค้นพบหลุมดำในจักรวาลแล้วอย่างน้อย 6 แห่ง
หลุมดำเป็นซากที่สิ้นสลายของดาวฤกษ์ที่ถึงอายุขัยแล้ว สสารที่เคยประกอบกันเป็นดาวนั้นได้ถูกอัดตัวด้วยแรงดึงดูดของตนเองจนเหลือเป็นเพียงมวลหนาแน่นที่มีขนาดเล็กยิ่งกว่านิวเคลียสของอะตอมเดียว ซึ่งเรียกว่า เอกภาวะ (singularity)
หลุมดำแบ่งได้เป็น 4 ประเภท คือ หลุมดำมวลยวดยิ่ง เป็นหลุมดำในใจกลางของดาราจักร หลุมดำขนาดกลาง หลุมดำจากดาวฤกษ์ที่เกิดจากการแตกดับของดาวฤกษ์ และ หลุมดำจิ๋ว หรือ หลุมดำเชิงควอนตัม
แม้ว่าจะไม่สามารถมองเห็นภายในหลุมดำได้ แต่ตัวมันก็แสดงการมีอยู่ผ่านการมีผลกระทบกับวัตถุที่อยู่ในวงโคจรภายนอกขอบฟ้าเหตุการณ์ ตัวอย่างเช่น หลุมดำอาจจะถูกสังเกตเห็นได้โดยการติดตามกลุ่มดาวที่โคจรอยู่ภายในศูนย์กลางหลุมดำ หรืออาจมีการสังเกตก๊าซ (จากดาวข้างเคียง) ที่ถูกดึงดูดเข้าสู่หลุมดำ ก๊าซจะม้วนตัวเข้าสู่ภายใน และจะร้อนขึ้นถึงอุณหภูมิสูง ๆ และปลดปล่อยรังสีขนาดใหญ่ที่สามารถตรวจจับได้จากกล้องโทรทรรศน์ที่โคจรอยู่รอบโลก การสำรวจให้ผลในทางวิทยาศาสตร์เห็นพ้องต้องกันว่าหลุมดำนั้นมีอยู่จริงในเอกภพ
แนวคิดของวัตถุที่มีแรงดึงดูดมากพอที่จะกันไม่ให้แสงเดินทางออกไปนั้นถูกเสนอโดยนักดาราศาสตร์มือสมัครเล่นชาวอังกฤษ จอห์น มิเชล ในปี 1783 และต่อมาในปี 1795 นักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศส ปีแยร์-ซีมง ลาปลาซ ก็ได้ข้อสรุปเดียวกัน ตามความเข้าใจล่าสุด หลุมดำถูกอธิบายโดยทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ซึ่งทำนายว่าเมื่อมีมวลขนาดใหญ่มากในพื้นที่ขนาดเล็ก เส้นทางในพื้นที่ว่างนั้นจะถูกทำให้บิดเบี้ยวไปจนถึงศูนย์กลางของปริมาตร เพื่อไม่ให้วัตถุหรือรังสีใดๆ สามารถออกมาได้
ขณะที่ทฤษฏีสัมพัทธภาพทั่วไปอธิบายว่าหลุมดำเป็นพื้นที่ว่างที่มีความเป็นเอกภาวะที่จุดศูนย์กลางและที่ขอบฟ้าเหตุการณ์บริเวณขอบ คำอธิบายนี่เปลี่ยนไปเมื่อค้นพบกลศาสตร์ควอนตัม การค้นคว้าในหัวข้อนี้แสดงให้เห็นว่านอกจากหลุมดำจะดึงวัตถุไว้ตลอดกาล แล้วยังมีการค่อย ๆ ปลดปล่อยพลังงานภายใน เรียกว่า รังสีฮอว์คิง (Hawking radiation) และอาจสิ้นสุดลงในที่สุด อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีคำอธิบายเกี่ยวกับหลุมดำที่ถูกต้องตามทฤษฎีควอนตัม

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

วัยทอง


วัยทองมักจะเป็นคำเรียกผู้ที่ก้าวเข้าสู่ช่วงความเปลี่ยนแปลงของชีวิตจากวัยผู้ใหญ่ ไปเป็นผู้สูงอายุ โดยทั่ว ๆ ไปวัยทองจะเริ่มขึ้นเมื่อคนเรามีอายุ 40 ปีขึ้นไป หลาย ๆ คนไม่อยากจะก้าวเข้าสู่ช่วงของวัยทอง เพราะได้ยินได้ฟังมาว่า คนในวัยนี้จะเกิดความเปลี่ยนแปลงของร่างกายและอารมณ์ เกิดความหงุดหงิด ไม่สบายเนื้อสบายตัว จนทำให้คนรอบข้างต้องได้รับผลกระทบไปด้วย
แต่ในความเป็นจริงแล้ว แม้เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงวัยทองได้ แต่เราก็สามารถที่จะอยู่ได้อย่างสุขสบายในวัยทอง ถ้ามีการปฏิบัติตัวและดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ และถูกต้อง นพ.สมนิมิตร มีคำแนะนำสำหรับการก้าวเข้าสู่วัยทองอย่างมีคุณภาพ
หลาย ๆ มีความเข้าใจว่า วัยทองคือวัยหมดประจำเดือน แต่จริง ๆ แล้ววัยทองจะเริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงก่อนหมดประจำเดือน โดยทั่ว ๆ ไปแล้วจะอยู่ในช่วงระหว่างอายุ 40-45 ปี และจะเกิดขึ้นกับทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แต่ผู้หญิงจะกลัวและวิตกกังวลกับการก้าวเข้าสู่วัยทองมากกว่า เพราะจะได้ยินได้ฟังคำบอกเล่าต่อ ๆ กันมา เช่น เข้าวัยทองแล้วจะเร็ว ผิวพรรณจะหมองคล้ำ ไม่เต็งตึง พฤติกรรม อารมณ์เปลี่ยนแปลง อีกทั้งยังมีโรคร้ายต่าง ๆ เข้ามารุมเร้า ซึ่งสิ่งที่ได้ยินต่อ ๆ กันมานี้ มีทั้งจริงและไม่จริง กรณีที่บางอย่างเป็นจริง ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะเกิดขึ้นกับวัยทองทุก ๆ คน
อาการ
ในระยะแรก ๆ ที่คนเราจะเข้าสู่วัยทอง จะมีอาการต่าง ๆ ที่สามารถสังเกตุเห็นได้ชัด เช่น มีอาการหงุดหงิดง่าย นอนไม่ค่อยหลับ ร้อนวูบวาบ เหงื่อออกผิดปกติทั้ง ๆ ที่อากาศไม่ร้อน นอกจากนี้บางคนจะหลงลืมง่าย ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพต่ำลง ซึ่งอาการเหล่านี้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในช่วงอายุนั้น แต่บางคนก็เข้าสู่วัยทองโดยไม่มีอาการต่าง ๆ เหล่านี้เลย แต่พบน้อย
การเปลี่ยนแปลง
สำหรับสิ่งที่เราพบได้บ่อยในความเปลี่ยนแปลงของหญิงวัยทองก็คือ ความเปลี่ยนแปลงของรอบประจำเดือน โดยจะแบ่งเป็น 3 ช่วง คือ
ช่วงแรก อายุ 40-45 ปี ประจำเดือนจะมาเร็วขึ้น เช่นจากที่เคยมาทุกเดือน จะมาทุก ๆ 3 อาทิตย์
ช่วงที่ 2 อายุประมาณ 45-50 ปี ระยะนี้ประจำเดือนจะเริ่มห่าง เช่นว่าบางคนเดือนครึ่งมาทีหนึ่ง บางคนอาจเป็น 2 เดือน 3 เดือน มาครั้งหนึ่ง
ช่วงที่ 3 เป็นช่วงที่หมดประจำเดือนจริง ๆ อายุประมาณ 50 ปี ขึ้นไป ประจำเดือนจะหายไปเป็นระยะเวลานาน ซึ่งเราจะตัดสินว่าคน ๆ นั้นหมดประจำเดือนแล้วจริง ๆ ก็ต่อเมื่อประจำเดือนหายไปครบ 12 เดือน หรือ 1 ปี
ปัญหาทางร่างกายที่จะเกิดกับวัยทองจะมี 2 ระยะด้วยกันคือ
ผลระยะสั้นเริ่มตั้งแต่ช่วงก้าวเข้าสู่วัยทอง จนกระทั่งหมดประจำเดือนไปแล้ว ช่วงนี้จะมีอาการร้อนวูบวาบ เหงื่อออกมากผิดปกติ มักเป็นตอนกลางคืน อ่อนเพลีย เหนื่อยหน่าย หงุดหงิดง่าย ขี้กังวล นอนไม่หลับ หลงลืม
ผลระยะยาวจะมี 3 ระบบใหญ่ ๆ คือ เกี่ยวกับระบบอวัยวะสืบพันธุ์และทางเดินปัสสาวะ โดยบางคนเมื่อหมดประจำเดือนไปนานแล้ว จะพบอาการต่าง ๆ เช่น ช่องคลอดแห้ง เจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์ ปัสสาวะขัด อีกระบบหนึ่งเป็นระบบหัวใจและหลอดเลือด โดยจะมีความเสี่ยงเพิ่มที่จะเป็นโรคดังกล่าว และระบบที่ 3 เกี่ยวกับภาวะกระดูกบาง หรือกระดูกพรุน จะพบบ่อยกับผู้ที่หมดประจำเดือนแล้ว 5 ปีขึ้นไป
ปัจจัยเสี่ยง
แต่อย่างไรก็ตาม การเกิดโรคเหล่านี้ ไม่ได้เป็นกับทุกคน แต่จะเป็นกับผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น คนที่มีความดันโลหิตสูง สูบบุหรี่ ไขมันในเลือดสูง รวมทั้งผู้ที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ก็จะเสี่ยงกับโรคหัวใจและหลอดเลือด มากขึ้นเมื่อเข้าสู่วัยทอง ซึ่งเสมือนเป็นปัจจัยเร่งนั่นเอง ส่วนภาวะกระดูกบางกระดูกพรุน ก็จะเสี่ยงในกลุ่มคนที่มีพันธุกรรมดังกล่าว ตลอดจนผู้ที่ทานอาหารแคลเซี่ยมน้อยมาเป็นเวลานาน เป็นต้น
การป้องกัน
เราสามารถป้องกันไม่ให้เกิดอาการต่าง ๆ ดังที่กล่าวมาข้างต้นได้หรือไม่นั้น เป็นคำถามที่มีผู้ถามกันบ่อยมาก จุดนี้ คำตอบคือเราสามารถทำได้ด้วยการลดปัจจัยเสี่ยงที่กล่าวมาแล้ว รวมไปถึงการพยายามรับประทานแคลเซี่ยมตั้งแต่เนิ่น ๆ โดยการรับประทานแคลเซี่ยมนี้ เป็นเหมือนกับการฝากธนาคารไว้ก่อน เพราะเมื่อคนเราอายุ 35 ปีแล้ว แคลเซี่ยมในกระดูกจะเริ่มลดต่ำลง ถ้าเราฝากไว้เยอะ เวลาแคลเซี่ยมลดลงก็จะเหลือต้นทุนไว้เยอะ นอกจากนี้ พยายามดูแลตัวเองอย่าให้เป็นเบาหวาน ความดันสูง ด้วยการพยายามลดอาหารไขมันสูง ลดความอ้วน หรือถ้าใครเป็นโรคนี้อยู่ก็พยายามปรึกษาแพทย์สม่ำเสมอเพื่อลดปัญหาลง
การดูแลรักษาอาการของคนวัยทอง
หลาย ๆ คนจะมีอาการทางด้านอารมณ์ในวัยทอง ซึ่งจริง ๆ แล้วการที่มีอารมณ์เปลี่ยนแปลง เป็นผลกระทบมาจากการที่ร่างกายมีความเปลี่ยนแปลง ยิ่งถ้าหากคนรอบข้างไม่เข้าใจ ก็จะยิ่งทำให้ผู้ที่อยู่ในวัยทองมีความแปรปรวนทางด้านอารมณ์มากขึ้นไปอีก
ส่วนทางด้านร่างกายนั้น จะเป็นไปในรูปของการส่งเสริมสุขภาพมากกว่า อาจจะเข้าปรึกษาแพทย์ตามคลินิควัยทอง เพื่อรับคำแนะนำ เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ ไม่จำเป็นต้องเป็นการให้ยารักษาเสมอไป ส่วนใหญ่เมื่อไปพบแพทย์ แพทย์จะซักประวัติ ตรวจร่างกายทั่วไป ตรวจภายในเพื่อเช็คมะเร็งปากมดลูก ตรวจเลือดเบาหวาน ไขมันในเส้นเลือด การทำงานของตับไต การทำงานของหัวใจ เพื่อหาความผิดปกติ ถ้าหากพบก็ต้องดูแลรักษาอาการเหล่านั้นต่อไป
การรับประทานฮอร์โมน
การเสริมฮอร์โมนนี้ จะเป็นฮอร์โมนที่เลียนแบบฮอร์โมนที่ผลิตมาจากรังไข่ เพราะวัยทองนี้เป็นวัยที่รังไข่ทำงานน้อยลงจนกระทั่งหยุดทำงานไป ไม่สร้างฮอร์โมนอีก เราจะใช้ฮอร์โมนจากภายนอนเข้าไปทำงานแทน โดยจะต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์

วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2552